ความแข็งแกร่งเชิงเปรียบเทียบของปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยรายวันที่เป็นลบ
factor.formula
โดยที่:
- :
จำนวนเงินที่มีการซื้อขายของหุ้น i ในนาทีที่ j ของวันทำการที่ n จำนวนเงินที่มีการซื้อขายหมายถึงจำนวนรวมของการซื้อขายทั้งหมดของหุ้นในนาทีนั้น
- :
คืออัตราผลตอบแทนของหุ้น i ในนาทีที่ j ของวันทำการที่ n ซึ่งบ่งชี้ถึงการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของนาทีเมื่อเทียบกับนาทีก่อนหน้า สูตรการคำนวณคือ: $r_{i,j,n} = \frac{price_{i,j,n} - price_{i,j-1,n}}{price_{i,j-1,n}}$ โดยที่ $price_{i,j,n}$ หมายถึงราคาซื้อขายเฉลี่ยของหุ้น i ในนาทีที่ j ของวันที่ n
- :
จำนวนการทำธุรกรรมของหุ้น i ในนาทีที่ j ของวันทำการที่ n จำนวนการทำธุรกรรมหมายถึงจำนวนรวมของการทำธุรกรรมทั้งหมดสำหรับหุ้นในนาทีนั้น
- :
เป็นฟังก์ชันตัวบ่งชี้ เมื่ออัตราผลตอบแทน $r_{i,j,n}$ ของหุ้น i ในนาทีที่ j ของวันทำการที่ n น้อยกว่า 0 ค่าฟังก์ชันจะเป็น 1 มิฉะนั้นจะเป็น 0 ใช้เพื่อกรองธุรกรรมการขายที่เกิดขึ้น (ธุรกรรมที่เป็นลบ)
- :
ช่วงเวลาที่ใช้ในการมองย้อนหลังเป็นวันทำการ สำหรับการเลือกหุ้นรายเดือน โดยปกติ T=20 วันทำการ สำหรับการเลือกหุ้นรายสัปดาห์ โดยปกติ T=5 วันทำการ พารามิเตอร์นี้กำหนดช่วงเวลาสำหรับการคำนวณค่าปัจจัย
- :
จำนวนนาทีในแต่ละวันทำการ ตัวอย่างเช่น หากเป็นวันทำการหนึ่งวัน N=240 (4 ชั่วโมง 1 ข้อมูลต่อนาที)
- :
คือจำนวนหุ้นทั้งหมดในตลาดและใช้เพื่อคำนวณค่าเฉลี่ยของตลาด
factor.explanation
ปัจจัยนี้คำนวณความแข็งแกร่งเชิงเปรียบเทียบของอัตราส่วนปริมาณการซื้อขายที่เป็นลบเฉลี่ยรายวันของหุ้นในช่วงเวลาหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประการแรก เราคำนวณอัตราส่วนของปริมาณการซื้อขายที่เป็นลบรายวัน (เช่น ปริมาณการซื้อขายที่เกิดจากการขาย) ของหุ้นต่อปริมาณการซื้อขายทั้งหมด ซึ่งสะท้อนถึงความแข็งแกร่งเชิงเปรียบเทียบของการขายที่เกิดขึ้นในวันนั้น ถัดมา เราหาค่าเฉลี่ยของอัตราส่วนปริมาณการซื้อขายที่เป็นลบเฉลี่ยรายวันในช่วงเวลาหนึ่ง (เช่น 20 วันทำการ) เพื่อให้ได้อัตราส่วนปริมาณการซื้อขายที่เป็นลบเฉลี่ยของหุ้นในช่วงเวลานั้น สุดท้าย เราเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยกับอัตราส่วนปริมาณการซื้อขายที่เป็นลบเฉลี่ยของค่าเฉลี่ยตลาดในช่วงเวลาเดียวกัน คำนวณความแข็งแกร่งเชิงเปรียบเทียบ และเพื่อให้ได้ค่าปัจจัยสุดท้าย ปัจจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อจับภาพความเข้มข้นของการขายที่เกิดขึ้นในตลาด ยิ่งค่าสูง อัตราส่วนปริมาณการซื้อขายที่เป็นลบของหุ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของตลาดก็จะยิ่งสูง ซึ่งอาจบ่งชี้ว่ามีแรงขายในหุ้นจำนวนหนึ่ง หรืออาจเป็นเพราะกองทุนหลักกำลังซื้อเพื่อดักจับแนวโน้มขาลง ในทางตรงกันข้าม หากค่าต่ำ อาจบ่งชี้ว่าตลาดมีความเต็มใจที่จะขายหุ้นน้อยลง ปัจจัยนี้สามารถสะท้อนความเชื่อมั่นของตลาดและการไหลเวียนของเงินทุน และใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงสำหรับการคัดเลือกหุ้นเชิงปริมาณและการควบคุมความเสี่ยง